
ทำอย่างไรธุรกิจ SME จะปรับตัวเมื่อต้นทุนการตลาดออนไลน์พุ่งสูงขึ้น?
ปัจจุบันการตลาดออนไลน์กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ SME ที่มีงบประมาณจำกัด การเพิ่มขึ้นของค่าโฆษณาบนทุกแพลตฟอร์ม การแข่งขันที่รุนแรง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ล้วนส่งผลให้ผู้ประกอบการรายเล็กถึงกลางต้องปรับกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอด จากข้อมูลพบว่าค่าโฆษณาบนสื่อดิจิทัลในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 12,402 ล้านบาทในปี 2560 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บทความนี้จะนำเสนอกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ธุรกิจ SME ยังสามารถแข่งขันได้แม้ต้นทุนจะสูงขึ้น พร้อมเคล็ดลับการบริหารงบประมาณอย่างคุ้มค่า
ทำไมต้นทุนการตลาดออนไลน์จึงสูงขึ้นและกระทบ SME มากกว่าธุรกิจใหญ่?
นับตั้งแต่การเข้ามาของโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่เมื่อกว่า 14 ปีที่ผ่านมา รูปแบบการทำธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทุกธุรกิจหันมาลงทุนทำการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ด้วยมูลค่าตลาดที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจ้าของแพลตฟอร์มจึงเริ่มปรับราคาค่าโฆษณาให้สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น จากเดิมที่ใช้งบประมาณ 100 บาท สามารถเข้าถึงผู้ชมได้ 1,000 คน แต่ปัจจุบันอาจต้องใช้งบประมาณถึง 200 บาท เพื่อเข้าถึงคนจำนวนเท่าเดิม
การปรับราคานี้อาจไม่ใช่ปัญหาสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนพร้อม แต่กลับส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจ SME ที่มีงบประมาณจำกัด นอกจากนี้ การที่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาในตลาดออนไลน์จำนวนมาก ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรง หลายธุรกิจเลือกใช้กลยุทธ์ลดราคาเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด ส่งผลให้กำไรของ SME ลดลง แม้จะยังต้องแบกรับต้นทุนค่าโฆษณาที่สูงขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น การที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ SME ต้องลงทุนในหลายช่องทางพร้อมกัน เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุม ซึ่งยิ่งเพิ่มภาระต้นทุนให้สูงขึ้นไปอีก
ทำไมการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลของตัวเองจึงสำคัญอย่างยิ่ง?
หนึ่งในแนวทางที่ธุรกิจ SME ควรพิจารณาคือการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเอง สินทรัพย์ดิจิทัลในที่นี้หมายถึง “สินทรัพย์ที่เป็นของเราในโลกออนไลน์” ซึ่งโดยพื้นฐานที่สุดคือเว็บไซต์ของธุรกิจ
การมีเว็บไซต์ที่เป็นของตัวเองเป็นการสร้างฐานที่มั่นคงในโลกออนไลน์ ที่คุณเป็นเจ้าของและสามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาเงื่อนไขหรือการเปลี่ยนแปลงของแพลตฟอร์มอื่น ในยุคที่ราคาโฆษณาบนสื่อออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่จำนวนผู้ใช้เติบโตช้าลง การทุ่มงบประมาณไปกับการโฆษณาบนแพลตฟอร์มอื่นอาจไม่คุ้มค่าอีกต่อไป
สินทรัพย์ดิจิทัลยังรวมถึง:
- ฐานข้อมูลลูกค้า
- ระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM)
- ระบบอีเมล์มาร์เก็ตติ้ง
- คอนเทนต์ที่มีคุณภาพบนเว็บไซต์
การลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการผูกติดธุรกิจไว้กับแพลตฟอร์มที่ไม่ได้เป็นของตนเอง ซึ่งหากแพลตฟอร์มนั้นเปลี่ยนแปลงนโยบาย อัลกอริทึม หรือแม้แต่ปิดตัวลง ธุรกิจของคุณจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ขณะเดียวกัน สินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้จะสร้างมูลค่าในระยะยาวและลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อะไรคือทางเลือกนอกเหนือจากโซเชียลมีเดียที่ SME ควรพิจารณา?
แม้โซเชียลมีเดียจะยังคงมีความสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ แต่ SME ไม่ควรพึ่งพาช่องทางนี้เพียงอย่างเดียว โดยต้องคำนึงถึงว่าโซเชียลมีเดียถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อผู้คนเป็นหลัก ก่อนที่จะพัฒนาฟีเจอร์เพื่อตอบสนองการทำธุรกิจ
ลองคิดภาพว่าหากโซเชียลแพลตฟอร์มถึงจุดอิ่มตัว ผู้ใช้เริ่มเบื่อ หรือไม่มีคนเข้ามาดูคอนเทนต์ แล้วใครจะเห็นสินค้าหรือบริการของคุณ? นี่คือเหตุผลที่ SME ควรมองหาทางเลือกอื่นควบคู่ไปกับโซเชียลมีเดีย ได้แก่:
- การสร้างชุมชนผ่านช่องทางที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น กลุ่มไลน์ หรือฟอรั่มเฉพาะทาง
- การพัฒนาระบบอีคอมเมิร์ซบนเว็บไซต์ของตนเอง แทนการขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสูง
- การใช้ระบบอีเมล์มาร์เก็ตติ้ง เพื่อสื่อสารกับลูกค้าโดยตรง ซึ่งมีต้นทุนต่ำแต่ประสิทธิภาพสูง
- การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ที่มีกลุ่มลูกค้าคล้ายคลึงกัน เพื่อแบ่งปันทรัพยากรและลดต้นทุน
SME ควรใช้โซเชียลมีเดียเป็นเพียงตัวกลางในการสื่อสารกับลูกค้าเท่านั้น แต่ควรพยายามดึงลูกค้าจากโซเชียลมีเดียมาสู่ช่องทางที่คุณเป็นเจ้าของ เช่น เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของธุรกิจ เพื่อสร้างความสัมพันธ์โดยตรงที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง
SEO และ SEM ช่วยประหยัดต้นทุนการตลาดได้อย่างไร?
ในยุคที่ค่าโฆษณาบนโซเชียลมีเดียสูงขึ้น การหันมาให้ความสำคัญกับการทำ Search Engine Marketing (SEM) และ Search Engine Optimization (SEO) เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับ SME
SEM แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ การทำ SEO และการลงโฆษณาผ่าน Google Ads โดย SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับสูงในการค้นหาแบบออแกนิคโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายรายครั้งเหมือนการซื้อโฆษณา
จากข้อมูลการศึกษาพบว่า เว็บไซต์ที่ปรากฏเป็นอันดับแรกจากการค้นหาบนเดสก์ท็อปมีอัตราการคลิก (CTR) สูงถึง 31.52% ส่วนการค้นหาบนมือถือมีอัตราการคลิกสูงถึง 24.05% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเชื่อถือผลการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา และมักเลือกคลิกบนลิงก์ที่ปรากฏในอันดับต้นๆ
การลงทุนทำ SEO แม้จะใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล แต่เมื่อเว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาแล้ว จะช่วยให้ธุรกิจมีต้นทุนในการหาลูกค้าที่ต่ำลงในระยะยาว และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้ดีกว่าการซื้อโฆษณา
ส่วนการทำ Google Ads เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับ SME ที่ต้องการเห็นผลเร็ว เมื่อมีผู้ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณ โฆษณาของคุณจะปรากฏขึ้นในหน้าผลการค้นหาทันที แต่การจะให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด ควรทำทั้ง SEO และ SEM ควบคู่กันไป เพื่อทั้งผลลัพธ์ระยะสั้นและความยั่งยืนในระยะยาว
เทคนิคการบริหารงบประมาณโฆษณาออนไลน์ให้คุ้มค่าสำหรับ SME
สำหรับ SME ที่มีงบประมาณจำกัด การบริหารค่าใช้จ่ายในการโฆษณาออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ ต่อไปนี้คือเทคนิคที่จะช่วยให้การลงทุนโฆษณาออนไลน์คุ้มค่ามากขึ้น:
- ใช้ตัวจัดการโฆษณา (Ads Manager) แทนการบูสต์โพสต์ธรรมดา โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มโซเชียลต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้คุณปรับแต่งและกำหนดเป้าหมายโฆษณาได้แม่นยำมากขึ้น ตัวจัดการโฆษณามีฟังก์ชันที่ครอบคลุมการทำโฆษณามากกว่าการบูสต์โพสต์แบบธรรมดา
- เปิดใช้งาน Campaign Budget Optimization (CBO) เป็นระบบที่ช่วยจัดสรรงบประมาณไปยังชุดโฆษณาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดโดยอัตโนมัติ แทนที่จะกระจายงบประมาณเท่ากันในทุกชุดโฆษณา
- ทดสอบกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ใช้งบประมาณน้อยๆ ในช่วงแรกเพื่อทดสอบว่ากลุ่มเป้าหมายใดตอบสนองดีที่สุด ก่อนที่จะเพิ่มงบประมาณในกลุ่มนั้น
- กำหนดเป้าหมายการโฆษณาให้ชัดเจน เช่น ต้องการเพิ่มยอดขาย เพิ่มการรับรู้แบรนด์ หรือเพิ่มผู้ติดตาม เพื่อให้สามารถวัดผลและประเมินความคุ้มค่าได้อย่างเป็นรูปธรรม
- ใช้เทคนิคการทำ A/B Testing เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของโฆษณาในรูปแบบต่างๆ แล้วเลือกลงทุนกับรูปแบบที่ให้ผลตอบรับดีที่สุด
การบริหารงบประมาณโฆษณาที่ดีไม่ได้หมายถึงการใช้เงินน้อยที่สุด แต่หมายถึงการใช้เงินให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด (ROI) ซึ่งต้องอาศัยการวางแผน การทดสอบ และการวิเคราะห์ผลอย่างเป็นระบบ
กลยุทธ์การวางแผนธุรกิจรอบด้านเพื่อความอยู่รอดในยุคดิจิทัล
นอกจากการปรับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์แล้ว การวางแผนธุรกิจอย่างรอบด้านก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ SME อยู่รอดได้ในสภาวะที่ต้นทุนสูงขึ้น ดังนี้:
- บริหารสภาพคล่องทางการเงินอย่างเข้มงวด โดยรักษาสัดส่วนของเงินไหลเข้าให้มากกว่าเงินไหลออก และควบคุมอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกิน 2 เท่า
- รักษามาตรฐานการเก็บเงินลูกหนี้ หากมีลูกค้าที่เริ่มมีการผัดผ่อนชำระ ควรรีบเข้าไปแก้ไขสถานการณ์ทันที ไม่ปล่อยให้ปัญหาลุกลาม
- สำรองกำไรส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินทุนสำรอง เพื่อใช้ในยามฉุกเฉินหรือเพื่อโอกาสการลงทุนในอนาคต
- เปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างช่องทางการตลาดต่างๆ อย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็น เพจ vs เว็บไซต์, โซเชียล vs SEM, หรือ Offline vs Online โดยพิจารณาจากธุรกิจและกลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นหลัก
- กระจายความเสี่ยง โดยใช้หลายช่องทางประกอบกัน และมีแผนรองรับหากช่องทางหลักมีปัญหา เช่น ถ้าโซเชียลมีเดียหลักของคุณลดการมองเห็นหรือเพิ่มค่าโฆษณา คุณยังมีช่องทางอื่นที่พร้อมรองรับ
- ลงทุนในคุณภาพสินค้าและบริการ เพื่อสร้างความแตกต่างและความภักดีต่อแบรนด์ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ในระยะยาว
โลกออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจที่จะอยู่รอดได้ต้องไม่ยึดติดกับรูปแบบหรือช่องทางใดช่องทางหนึ่ง แต่ต้องพร้อมปรับตัวและมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ
สรุป
การทำธุรกิจ SME ในโลกออนไลน์ที่มีต้นทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ ต้องอาศัยการปรับตัวและกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเอง การไม่พึ่งพาโซเชียลมีเดียมากเกินไป การใช้ SEO และ SEM อย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารงบประมาณโฆษณาอย่างรอบคอบ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจ SME อยู่รอดและเติบโตได้ในยุคดิจิทัล
การเปรียบเทียบความคุ้มค่าของแต่ละช่องทางการตลาด การวางแผนรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด และการบริหารการเงินอย่างมีวินัย จะช่วยให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
ในท้ายที่สุด ความสำเร็จของธุรกิจ SME ในยุคที่การตลาดออนไลน์มีต้นทุนสูงขึ้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับงบประมาณมหาศาล แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม และการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเทคโนโลยี
#SME #การตลาดออนไลน์ #ต้นทุนโฆษณา #DigitalAssets #SEO #SEM #กลยุทธ์การตลาด #ธุรกิจออนไลน์ #การบริหารงบประมาณ #โซเชียลมีเดีย