ติดต่อเรา

บริษัท นิวโฟลเดอร์888 จำกัด 159/229 หมู่ 6 หมู่บ้านสัมมากร อเวนิว ชัยพฤกษ์-วงแหวน ตำบล ลำโพ อำเภอ บางบัวทอง จังหวัด นนทบุรี 11110

090-916-9993 hello@newfolder.co.th
ติดตามเรา
99

ทำไมการตั้งราคาสินค้าอย่างชาญฉลาดจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มกำไรให้ธุรกิจของคุณ?

ราคาคือปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือไม่ซื้อ ในโลกของการตลาด การกำหนดราคาที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสามารถเพิ่มรายได้และกำไรให้กับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในขณะเดียวกัน การตั้งราคาที่ไม่เหมาะสมก็อาจส่งผลให้ธุรกิจเสียเปรียบคู่แข่งหรือสูญเสียลูกค้าได้

การตั้งราคาที่ดีต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการผลิต ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ราคาของคู่แข่ง และความคาดหวังของลูกค้า การเปลี่ยนแปลงราคาเพียงเล็กน้อยสามารถส่งผลกระทบอย่างรวดเร็วและรุนแรงต่อผลประกอบการได้ในทันที นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ประกอบการจึงควรศึกษาและเลือกใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมกับธุรกิจของตน

2

7 กลยุทธ์การกำหนดราคาที่ธุรกิจควรรู้คืออะไรบ้าง?

การกำหนดราคาที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างผลกำไร เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ลองมาดู 7 กลยุทธ์การกำหนดราคาที่ธุรกิจควรรู้จักและนำไปปรับใช้กัน

1. กลยุทธ์การกำหนดราคาตามต้นทุน (Cost-based Pricing)

กลยุทธ์นี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการกำหนดราคา โดยคำนวณจากต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการผลิตหรือจัดหาสินค้า แล้วบวกกำไรที่ต้องการในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์ เช่น หากต้นทุนการผลิตสินค้าอยู่ที่ 100 บาท และต้องการกำไร 30% ราคาขายจะอยู่ที่ 130 บาท

ข้อดีของกลยุทธ์นี้คือง่ายต่อการคำนวณและการควบคุมต้นทุน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้มีข้อเสียคือไม่ได้คำนึงถึงความต้องการและความเต็มใจจ่ายของลูกค้า รวมถึงไม่ได้พิจารณาการเปลี่ยนแปลงของตลาดด้วย

2. กลยุทธ์การกำหนดราคาตามมูลค่า (Value-based Pricing)

กลยุทธ์นี้กำหนดราคาโดยอิงจากคุณค่าและประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้าหรือบริการ เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีจุดเด่นหรือความแตกต่างที่ชัดเจนจากคู่แข่ง เช่น สินค้าที่มีนวัตกรรมพิเศษ หรือบริการที่มีคุณภาพสูงกว่าท้องตลาด

ข้อดีของกลยุทธ์นี้คือสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าหรือบริการได้ แต่ข้อเสียคือการวิเคราะห์คุณค่าในมุมมองของลูกค้าทำได้ยากและซับซ้อน อีกทั้งยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้าที่มีราคาถูกกว่าในตลาด

3. กลยุทธ์การกำหนดราคาตามคู่แข่ง (Competition-based Pricing)

กลยุทธ์นี้เน้นการกำหนดราคาโดยอ้างอิงจากราคาของคู่แข่งในตลาด ซึ่งอาจตั้งราคาเท่ากับ สูงกว่า หรือต่ำกว่าคู่แข่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งทางการตลาดที่ต้องการ

ข้อดีคือ ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวตามสภาวะตลาดได้ง่าย และมีโอกาสรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ แต่ข้อเสียคือ อาจไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าได้ และหากเกิดสงครามราคา ก็อาจทำให้กำไรลดลงอย่างมาก

4. กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบแบ่งส่วนตลาด (Segmented Pricing)

กลยุทธ์นี้ตั้งราคาแตกต่างกันสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต่างกัน สถานที่ขายที่ต่างกัน หรือช่วงเวลาที่ต่างกัน เช่น ราคาตั๋วหนังที่แพงกว่าในวันหยุด หรือราคาแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตที่ต่างกันระหว่างลูกค้าธุรกิจกับลูกค้าทั่วไป

ข้อดีคือสามารถดึงดูดลูกค้าได้หลากหลายกลุ่มและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น แต่ข้อเสียคืออาจทำให้ลูกค้าสับสนหรือรู้สึกไม่ยุติธรรมหากทราบว่าจ่ายในราคาที่แตกต่างกัน

5. กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบส่วนลด (Discount Pricing)

กลยุทธ์นี้ใช้การลดราคาชั่วคราวเพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยอาจทำในรูปแบบของส่วนลดตามฤดูกาล ส่วนลดสำหรับการซื้อจำนวนมาก หรือส่วนลดสำหรับลูกค้าที่ชำระเงินทันที เป็นต้น

ข้อดีคือสามารถเร่งการตัดสินใจซื้อและช่วยระบายสินค้าคงคลังได้ แต่ข้อเสียคืออาจทำให้ลูกค้าเคยชินกับการรอโปรโมชั่น และอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาว

6. กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบทำตลาดใหม่ (Price Skimming)

กลยุทธ์นี้เริ่มต้นด้วยการตั้งราคาสูงสำหรับสินค้าใหม่ และค่อยๆ ลดราคาลงเมื่อเวลาผ่านไป เหมาะสำหรับสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่หรือมีความต้องการสูงในช่วงแรก เช่น สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด

ข้อดีคือสามารถสร้างกำไรสูงในช่วงแรกและสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นพรีเมียม แต่ข้อเสียคือมีความเสี่ยงจากการแข่งขันที่รุนแรงและอาจทำให้ลูกค้าบางกลุ่มรู้สึกว่าไม่คุ้มค่า

7. กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบเจาะตลาด (Penetration Pricing)

กลยุทธ์นี้ใช้การตั้งราคาต่ำในช่วงแรกเพื่อดึงดูดลูกค้าและแย่งส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่ง หลังจากสร้างฐานลูกค้าได้แล้ว จึงค่อยๆ ปรับราคาขึ้น กลยุทธ์นี้มักใช้กับสินค้าอุปโภคบริโภคหรือบริการออนไลน์

ข้อดีคือช่วยให้เข้าสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วและสร้างฐานลูกค้าได้กว้าง แต่ข้อเสียคืออาจมีกำไรต่ำในช่วงแรกและอาจเกิดความเสี่ยงหากไม่สามารถขึ้นราคาได้ในภายหลัง

3

คุณจะรู้ได้อย่างไรว่ากลยุทธ์การกำหนดราคาของคุณเหมาะสมแล้ว?

การเลือกกลยุทธ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่มีเคล็ดลับบางประการที่จะช่วยให้คุณรู้ว่ากลยุทธ์ที่เลือกใช้นั้นเหมาะสมหรือไม่

ประการแรก ให้ดูที่อัตรากำไรของธุรกิจ หากกำไรเป็นไปตามเป้าหมายหรือสูงกว่า แสดงว่ากลยุทธ์ราคาที่ใช้อยู่มีประสิทธิภาพดี แต่หากกำไรต่ำกว่าเป้า อาจต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์

ประการที่สอง สังเกตพฤติกรรมของลูกค้า หากลูกค้าซื้อสินค้าโดยไม่ถามถึงราคาหรือไม่แสดงอาการลังเลเมื่อทราบราคา แสดงว่าราคาอยู่ในระดับที่ลูกค้ายอมรับได้ แต่หากลูกค้าส่วนใหญ่ต่อรองราคาหรือเปรียบเทียบราคากับที่อื่นก่อนตัดสินใจซื้อ อาจเป็นสัญญาณว่าราคาของคุณสูงเกินไป

ประการที่สาม พิจารณาอัตราการเติบโตของยอดขาย หากยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง แสดงว่ากลยุทธ์ราคาที่ใช้อยู่มีประสิทธิภาพ แต่หากยอดขายซบเซาหรือลดลง อาจต้องทบทวนกลยุทธ์ราคาใหม่

ปัจจัยอะไรที่ควรพิจารณาในการเลือกกลยุทธ์การกำหนดราคา?

การเลือกกลยุทธ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมต้องพิจารณาปัจจัยหลายประการ ได้แก่:

  1. เป้าหมายทางธุรกิจ: คุณต้องเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ว่าต้องการสร้างกำไรสูงสุด ต้องการส่วนแบ่งตลาด หรือต้องการสร้างความภักดีต่อแบรนด์ เป้าหมายที่ต่างกันอาจนำไปสู่กลยุทธ์ราคาที่แตกต่างกัน
  2. กลุ่มเป้าหมาย: การเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ ทั้งในแง่ของอายุ เพศ ที่อยู่ รสนิยม และค่านิยม จะช่วยให้คุณสามารถกำหนดราคาที่เหมาะสมและดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายได้
  3. คู่แข่ง: วิเคราะห์ว่าคู่แข่งของคุณกำหนดราคาอย่างไร และพิจารณาว่าคุณควรตั้งราคาให้สูงกว่า ต่ำกว่า หรือเท่ากับคู่แข่ง ขึ้นอยู่กับจุดแข็งและจุดขายของสินค้าหรือบริการของคุณ
  4. ต้นทุน: เข้าใจต้นทุนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและจำหน่ายสินค้า รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เพื่อให้แน่ใจว่าราคาที่ตั้งสามารถสร้างกำไรได้
  5. ฤดูกาลและแนวโน้มตลาด: พิจารณาว่าตลาดมีความผันผวนตามฤดูกาลหรือไม่ และมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในอนาคต เพื่อปรับกลยุทธ์ราคาให้เหมาะสม
4

แนวโน้มกลยุทธ์การกำหนดราคาในยุคดิจิทัลเป็นอย่างไร?

ในยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์การกำหนดราคาก็มีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ดังนี้:

  1. ราคาแบบไดนามิก (Dynamic Pricing): การปรับราคาแบบเรียลไทม์ตามปัจจัยต่างๆ เช่น ความต้องการของตลาด ราคาของคู่แข่ง หรือแม้แต่พฤติกรรมการเรียกดูเว็บไซต์ของลูกค้า เทคโนโลยี AI และ Big Data ทำให้ธุรกิจสามารถปรับราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  2. การกำหนดราคาแบบสมาชิก (Subscription Pricing): โมเดลธุรกิจแบบสมาชิกกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจซอฟต์แวร์และความบันเทิง การคิดค่าบริการเป็นรายเดือนหรือรายปีช่วยให้ธุรกิจมีรายได้ที่สม่ำเสมอและคาดการณ์ได้
  3. ราคาแบบรวมแพ็กเกจ (Bundle Pricing): การรวมสินค้าหรือบริการหลายรายการไว้ในแพ็กเกจเดียวและเสนอขายในราคาพิเศษ ช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อและส่งเสริมให้ลูกค้าทดลองใช้สินค้าหรือบริการใหม่ๆ
  4. การทดสอบราคา (Price Testing): การทดสอบราคาที่แตกต่างกันผ่านการทำ A/B Testing ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจว่าราคาใดที่ลูกค้ายอมรับได้มากที่สุดและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุด

สรุป

การกำหนดราคาที่เหมาะสมเป็นศิลปะและวิทยาศาสตร์ที่ต้องอาศัยทั้งข้อมูลและความเข้าใจในธุรกิจและลูกค้า กลยุทธ์การกำหนดราคาที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างกำไร เพิ่มยอดขาย และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์การกำหนดราคาตามต้นทุน ตามมูลค่า ตามคู่แข่ง หรือกลยุทธ์อื่นๆ ล้วนมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจและสถานการณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ

การติดตามและวิเคราะห์ผลของกลยุทธ์ราคาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันเวลาหากพบว่ากลยุทธ์ที่ใช้อยู่ไม่มีประสิทธิภาพ หรือมีการเปลี่ยนแปลงในตลาด ความยืดหยุ่นและการปรับตัวเป็นกุญแจสำคัญในการใช้กลยุทธ์ราคาให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว

#กลยุทธ์การตั้งราคา #PricingStrategy #การตลาด #ธุรกิจ #กำไร #การแข่งขัน #มูลค่า #ต้นทุน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • ประวัติการเข้าชมเว็บไซต์และโฆษณา

    ยินยอนให้มีการเก็บประวัติการเข้าชมเว็บไซต์

บันทึกการตั้งค่า