ติดต่อเรา

บริษัท นิวโฟลเดอร์888 จำกัด 159/229 หมู่ 6 หมู่บ้านสัมมากร อเวนิว ชัยพฤกษ์-วงแหวน ตำบล ลำโพ อำเภอ บางบัวทอง จังหวัด นนทบุรี 11110

090-916-9993 hello@newfolder.co.th
ติดตามเรา
107

เหตุใดความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ SEO จึงทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่ติดอันดับ?

ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ บนหน้าผลการค้นหาของ Google กลายเป็นเป้าหมายสำคัญของทุกธุรกิจ แต่หลายคนยังคงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำ SEO ทำให้ลงทุนทั้งเวลาและทรัพยากรไปกับกลยุทธ์ที่ไม่เกิดผล บทความนี้จะมาไขความกระจ่างเกี่ยวกับความเชื่อผิดๆ เหล่านั้น เพื่อให้คุณสามารถวางแผนและดำเนินการทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

SEO คืออะไร และทำไมจึงสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์?

SEO หรือ Search Engine Optimization คือกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและเป็นที่ชื่นชอบของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google เพื่อให้จัดอันดับเว็บไซต์ของคุณในตำแหน่งที่ดีเมื่อผู้ใช้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายพบเห็นและเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น โดยเพียงแค่พิมพ์คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ

เว็บไซต์ที่ติดอันดับต้นๆ บนหน้าผลการค้นหาจะได้รับความน่าเชื่อถือและโอกาสในการเข้าชมที่มากกว่า ซึ่งมีผลโดยตรงต่อยอดขายและการเติบโตของธุรกิจ ข้อมูลจากการวิจัยพบว่า การเข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหาแบบออร์แกนิคมีอัตราการมีส่วนร่วมที่สูง โดยมีระยะเวลาเฉลี่ยในการเข้าชมถึง 1 นาที 38 วินาที และเป็นแหล่งที่มาอันดับหนึ่งของผู้เข้าชมบทความบล็อกต่างๆ

2

การทำ SEO มีกี่ประเภท และแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร?

การทำ SEO สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทมีความสำคัญและส่งผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ในลักษณะที่แตกต่างกัน:

  1. On-Page SEO คือการปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ ภายในเว็บไซต์ เช่น เนื้อหา หัวข้อ คีย์เวิร์ด รูปภาพ และโครงสร้างเว็บไซต์ให้มีความน่าสนใจและตรงกับความต้องการของผู้ใช้ การทำ On-Page SEO ที่ดีจะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น
  2. Off-Page SEO เกี่ยวข้องกับการสร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ (Backlinks) และการโปรโมทเว็บไซต์ในแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและอำนาจของเว็บไซต์ในสายตาของ Google การได้รับลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณจะช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับที่ดีขึ้น
  3. Technical SEO เป็นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้า ความเป็นมิตรกับอุปกรณ์มือถือ โครงสร้าง URL และการทำ Schema Markup เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึง รวบรวมข้อมูล และจัดอันดับเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3

ทำไมหลายธุรกิจจึงล้มเหลวในการทำ SEO?

สาเหตุสำคัญที่ทำให้หลายธุรกิจล้มเหลวในการทำ SEO คือการยึดติดกับความเชื่อผิดๆ และการไม่ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึมของ Google ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อความล้มเหลวในการทำ SEO เช่น:

  1. ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมาย: หลายธุรกิจสร้างเนื้อหาโดยไม่คำนึงถึงความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้เนื้อหาไม่ตรงกับความต้องการและไม่สามารถตอบสนองต่อความตั้งใจในการค้นหา (Search Intent) ของผู้ใช้ได้
  2. ไม่มีการวางแผนระยะยาว: การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและต้องทำอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจที่คาดหวังผลลัพธ์ในระยะสั้นมักจะผิดหวังและล้มเลิกการทำ SEO ก่อนที่จะเห็นผล
  3. ไม่ติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์: การไม่ติดตามผลการทำ SEO และไม่ปรับแผนกลยุทธ์ตามผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้ไม่สามารถปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นได้
  4. ใช้เทคนิคที่ผิดกฎของ Google: การใช้เทคนิค Black Hat SEO เช่น การซื้อลิงก์จำนวนมาก การซ่อนข้อความหรือลิงก์ หรือการยัดไส้คีย์เวิร์ด อาจทำให้เว็บไซต์ถูกลงโทษจาก Google และส่งผลเสียต่ออันดับการค้นหา
4

ความเชื่อผิดๆ ข้อที่ 1: SEO ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ 1 ได้ทันทีจริงหรือไม่?

หนึ่งในความเชื่อผิดๆ ที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับ SEO คือการคาดหวังว่าเว็บไซต์จะสามารถติดอันดับ 1 ได้ทันทีหลังจากทำ SEO ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ บนหน้าผลการค้นหาเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างต่อเนื่อง

Google มีอัลกอริทึมที่ซับซ้อนและพิจารณาปัจจัยกว่า 200 ปัจจัยในการจัดอันดับเว็บไซต์ นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขันสูงจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทำธุรกิจคล้ายคลึงกัน ซึ่งหลายเว็บไซต์อาจมีประวัติและความน่าเชื่อถือที่ยาวนานกว่า การพัฒนาเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ จึงต้องอาศัยการพัฒนาเนื้อหาที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ การสร้างลิงก์ที่มีคุณภาพ และการปรับปรุงปัจจัยทางเทคนิคอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญ การวัดความสำเร็จของ SEO ไม่ควรดูเพียงแค่อันดับเท่านั้น แต่ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ อัตราการมีส่วนร่วม และอัตราการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate)

5

ความเชื่อผิดๆ ข้อที่ 2: ทำไมการทำ SEO เพียงครั้งเดียวจึงไม่เพียงพอ?

อีกหนึ่งความเชื่อผิดๆ ที่พบบ่อยคือการคิดว่าการทำ SEO เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริง การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก:

  1. อัลกอริทึมของ Google มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา: Google มีการอัปเดตอัลกอริทึมหลายร้อยครั้งต่อปี ทำให้กลยุทธ์ SEO ที่เคยได้ผลในอดีตอาจไม่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน การติดตามและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งสำคัญ
  2. คู่แข่งไม่หยุดนิ่ง: เว็บไซต์อื่นๆ ในธุรกิจเดียวกันก็ทำ SEO เช่นกัน หากคุณหยุดพัฒนา คู่แข่งอาจแซงหน้าและทำให้อันดับของคุณลดลง
  3. พฤติกรรมและความต้องการของผู้ใช้เปลี่ยนแปลง: คำค้นหาและความต้องการของผู้ใช้เปลี่ยนแปลงตามกระแสและฤดูกาล การปรับเนื้อหาและกลยุทธ์ให้ทันสมัยจะช่วยให้เว็บไซต์ตอบสนองต่อความต้องการปัจจุบันได้ดี

ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO เปรียบการทำ SEO เหมือนการดูแลสวน: ต้องมีการรดน้ำ ใส่ปุ๋ย กำจัดวัชพืช และดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้พืชเติบโตและออกดอกออกผล การทำ SEO ก็เช่นกัน ต้องมีการตรวจสอบ ปรับปรุง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

6

ความเชื่อผิดๆ ข้อที่ 3: เนื้อหาที่ยาวและมีคีย์เวิร์ดเยอะทำให้ติดอันดับดีจริงหรือ?

หลายคนเชื่อว่าเนื้อหาที่ยาวและมีคีย์เวิร์ดจำนวนมากจะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับดีขึ้น แต่ความจริงแล้ว คุณภาพของเนื้อหาสำคัญกว่าความยาว Google ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีคุณค่า ตรงประเด็น และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้

เนื้อหาที่ดีไม่จำเป็นต้องยาว แต่ต้องครอบคลุมประเด็นสำคัญที่ผู้ใช้กำลังค้นหา ความยาวของเนื้อหาควรขึ้นอยู่กับธรรมชาติของหัวข้อและความตั้งใจในการค้นหาของผู้ใช้ เช่น คำถามง่ายๆ อาจต้องการเพียงคำตอบสั้นๆ และตรงประเด็น ในขณะที่หัวข้อที่ซับซ้อนอาจต้องการเนื้อหาที่ยาวและละเอียดมากขึ้น

นอกจากนี้ การเพิ่มคำเพียงเพื่อให้บทความยาวขึ้นโดยไม่เพิ่มคุณค่า (Fluff) จะส่งผลเสียต่ออันดับการค้นหา เพราะผู้ใช้มักไม่ชอบอ่านเนื้อหาที่วกวนและไม่ตรงประเด็น ซึ่งอาจทำให้พวกเขาออกจากเว็บไซต์เร็วขึ้น (Bounce Rate สูงขึ้น) และส่งสัญญาณลบไปยัง Google

7

ความเชื่อผิดๆ ข้อที่ 4: การยัดไส้คีย์เวิร์ดส่งผลดีต่อการจัดอันดับอย่างไร?

การยัดไส้คีย์เวิร์ด (Keyword Stuffing) หมายถึงการใส่คีย์เวิร์ดซ้ำๆ ในเนื้อหาจำนวนมากเกินความจำเป็น โดยหวังว่าจะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับดีขึ้น แต่ในความเป็นจริง Google มองว่านี่เป็นเทคนิคการสแปม และอาจลงโทษเว็บไซต์ที่ใช้วิธีนี้

Google ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า TF-IDF (Term Frequency-Inverse Document Frequency) เพื่อวิเคราะห์ความถี่ของคำในเนื้อหาและเปรียบเทียบกับหน้าเว็บอื่นๆ เพื่อตรวจสอบว่ามีการใช้คีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติหรือไม่ หากพบว่ามีการใช้คีย์เวิร์ดมากเกินไปหรือไม่เป็นธรรมชาติ Google อาจลดอันดับของเว็บไซต์

แนวทางที่ถูกต้องคือการใช้คีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติและกระจายไปทั่วทั้งบทความ โดยเน้นที่การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและตรงกับความต้องการของผู้ใช้ คีย์เวิร์ดหลักควรมีประมาณ 1% ของจำนวนคำทั้งหมดในบทความ และคีย์เวิร์ดรองประมาณ 0.5% ของคีย์เวิร์ดหลัก

นอกจากนี้ การใช้คำที่เกี่ยวข้อง (Related Terms) และคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน (Synonyms) จะช่วยทำให้เนื้อหามีความหลากหลายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ Google ให้คุณค่า

8

ความเชื่อผิดๆ ข้อที่ 5: SEO เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้นจริงหรือ?

มีความเชื่อผิดๆ ว่า SEO เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น เนื่องจากต้องใช้งบประมาณและทรัพยากรจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว SEO เป็นกลยุทธ์การตลาดที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจทุกขนาด

ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถใช้ประโยชน์จาก SEO เพื่อแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้ โดยเฉพาะในตลาดท้องถิ่นหรือตลาดเฉพาะ (Niche Market) ที่อาจมีการแข่งขันน้อยกว่า

นอกจากนี้ ตลาดสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ได้เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีบริการ SEO ในหลากหลายระดับราคาที่เหมาะสมกับงบประมาณของธุรกิจต่างๆ ธุรกิจสามารถเลือกแพ็กเกจ SEO ที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของตนได้

การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง แต่ต้องมีการวางแผนที่ดีและดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเริ่มต้นด้วยการทำวิจัยคีย์เวิร์ด การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการจัดอันดับโดยไม่ต้องใช้งบประมาณมาก

9

ความเชื่อผิดๆ ข้อที่ 6: การซื้อโดเมนเก่ามาจดทะเบียนใหม่ช่วยในการทำ SEO จริงหรือไม่?

มีความเชื่อผิดๆ ว่าการซื้อโดเมนเก่าที่เคยมีประวัติการทำ SEO มาแล้วและนำมาจดทะเบียนใหม่จะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ดีขึ้น แต่ความจริงแล้ว การซื้อโดเมนเก่าไม่ได้รับประกันว่าจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับดีขึ้น

เมื่อคุณซื้อโดเมนเก่าและสร้างเว็บไซต์ใหม่ Google จะมองว่านี่เป็นเว็บไซต์ใหม่ ประวัติและอันดับเดิมของโดเมนจะไม่ถูกถ่ายโอนมายังเว็บไซต์ใหม่โดยอัตโนมัติ คุณยังคงต้องเริ่มต้นสร้างความน่าเชื่อถือและอำนาจของเว็บไซต์ใหม่ตั้งแต่ต้น

นอกจากนี้ หากโดเมนเก่าเคยใช้เทคนิค Black Hat SEO หรือเคยถูกลงโทษจาก Google ก่อนหน้านี้ การซื้อโดเมนดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ใหม่ของคุณ

แทนที่จะซื้อโดเมนเก่า การเลือกโดเมนใหม่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณและสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม หากคุณยังต้องการซื้อโดเมนเก่า ควรตรวจสอบประวัติของโดเมนอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจซื้อ

10

ความเชื่อผิดๆ ข้อที่ 7: SEO เป็นเรื่องที่ล้าสมัยและไม่สำคัญอีกต่อไปจริงหรือ?

มีความเชื่อผิดๆ ว่า SEO เป็นเรื่องที่ล้าสมัยและไม่มีความสำคัญอีกต่อไปในยุคที่มีเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มใหม่ๆ เกิดขึ้น แต่ความจริงแล้ว SEO ยังคงเป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพและสำคัญอย่างมาก

Google ยังคงเป็นเครื่องมือค้นหาที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยมีการค้นหาประมาณ 8.5 พันล้านครั้งต่อวัน ซึ่งมากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ บนเว็บ การทำ SEO จึงยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

แม้ว่าการค้นหาด้วยเสียง AI และเทคโนโลยีใหม่ๆ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ SEO หมดความสำคัญ แต่กลับทำให้ SEO ต้องปรับตัวและพัฒนาให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง

ข้อมูลจากการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าการเข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหาแบบออร์แกนิคมีอัตราการมีส่วนร่วมที่สูง และกลายเป็นแหล่งที่มาอันดับหนึ่งของผู้เข้าชมบทความบล็อกต่างๆ ซึ่งสูงกว่าทุกช่องทางอื่นๆ รวมกัน การทำ SEO จึงยังคงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับธุรกิจในระยะยาว

11

ความเชื่อผิดๆ ข้อที่ 8: Meta Tags ไม่มีผลต่อการจัดอันดับจริงหรือไม่?

มีความเชื่อผิดๆ ว่า Meta Tags ไม่มีผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์อีกต่อไป แต่ความจริงแล้ว แม้ว่า Meta Keywords จะไม่มีผลต่อการจัดอันดับโดยตรง แต่ Meta Title และ Meta Description ยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของ SEO

Meta Title หรือชื่อเรื่องเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ เนื่องจาก Google ใช้ชื่อเรื่องเพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บ การใส่คีย์เวิร์ดหลักในชื่อเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติจะช่วยให้ Google เข้าใจว่าหน้าเว็บของคุณเกี่ยวข้องกับคำค้นหานั้นๆ

Meta Description หรือคำอธิบายเว็บไซต์ แม้จะไม่มีผลโดยตรงต่อการจัดอันดับ แต่มีผลอย่างมากต่ออัตราการคลิกผ่าน (Click-Through Rate) ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ Google ใช้ในการจัดอันดับ การเขียน Meta Description ที่น่าสนใจและตรงประเด็นจะช่วยดึงดูดให้ผู้ใช้คลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น

นอกจากนี้ Meta Tags อื่นๆ เช่น Alt Tags สำหรับรูปภาพ และ Schema Markup ยังคงมีความสำคัญในการช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น และสามารถแสดงผลการค้นหาในรูปแบบที่น่าสนใจมากขึ้น เช่น Rich Snippets

12

6 วิธีทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพในปี 2025

หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อผิดๆ ในการทำ SEO แล้ว มาดูวิธีการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพในปี 2025 กัน:

  1. เน้นคุณภาพเนื้อหาและความน่าเชื่อถือ: Google ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของเนื้อหามากขึ้นผ่านปัจจัย E-E-A-T (Experience, Expertise, Authority, Trustworthiness) การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง มีความเชี่ยวชาญ และมีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจะช่วยเพิ่มโอกาสการติดอันดับที่ดี
  2. ปรับตัวให้เข้ากับ AI และเทคโนโลยีใหม่: พัฒนาเนื้อหาที่ตอบสนองต่อการค้นหาด้วยเสียงและ AI โดยเน้นการใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและการตอบคำถามของผู้ใช้อย่างตรงประเด็น
  3. เพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้และเทคนิค Core Web Vitals: Google ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้มากขึ้น การปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ ความเสถียรของเว็บไซต์ และความสามารถในการโต้ตอบกับผู้ใช้จะช่วยเพิ่มอันดับของเว็บไซต์
  4. ทำ Local SEO สำหรับธุรกิจท้องถิ่น: สำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือให้บริการในพื้นที่เฉพาะ การทำ Local SEO เช่น การลงทะเบียน Google My Business และการเพิ่มข้อมูลท้องถิ่นในเว็บไซต์ จะช่วยให้ธุรกิจของคุณปรากฏในผลการค้นหาท้องถิ่นมากขึ้น
  5. ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์: ติดตามและวิเคราะห์ผลการทำ SEO อย่างสม่ำเสมอผ่านเครื่องมือต่างๆ เช่น Google Analytics และ Google Search Console เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
  6. สร้าง Backlinks ที่มีคุณภาพ: การสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ และหลีกเลี่ยงการซื้อลิงก์หรือใช้เทคนิคที่ผิดกฎของ Google

สรุป

การทำ SEO เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ บนหน้าผลการค้นหา และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น แต่ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ SEO อาจทำให้หลายธุรกิจล้มเหลวในการทำ SEO และสูญเสียทั้งเวลาและทรัพยากร

การทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ SEO จะช่วยให้คุณวางแผนและดำเนินการทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

จำไว้ว่า การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทน ไม่มีทางลัดหรือสูตรสำเร็จที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ 1 ได้ในชั่วข้ามคืน แต่ด้วยการวางแผนที่ดี การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เว็บไซต์ของคุณจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว

#SEO #ความเชื่อผิดในการทำSEO #เทคนิคSEO #การทำเว็บไซต์ติดอันดับ #GoogleSEO #กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ #ทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก #เพิ่มยอดขายออนไลน์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • ประวัติการเข้าชมเว็บไซต์และโฆษณา

    ยินยอนให้มีการเก็บประวัติการเข้าชมเว็บไซต์

บันทึกการตั้งค่า