ติดต่อเรา

บริษัท นิวโฟลเดอร์888 จำกัด 159/229 หมู่ 6 หมู่บ้านสัมมากร อเวนิว ชัยพฤกษ์-วงแหวน ตำบล ลำโพ อำเภอ บางบัวทอง จังหวัด นนทบุรี 11110

090-916-9993 hello@newfolder.co.th
ติดตามเรา
97

ทำไมการตลาดแม่และเด็กยังเติบโตได้ แม้อัตราเกิดจะลดลง?

หลายคนอาจสงสัยว่าในเมื่ออัตราการเกิดของประเทศไทยและทั่วโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไทยที่ปี 2022 มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี แต่ทำไมตลาดสินค้าและบริการสำหรับแม่และเด็กกลับเติบโตแบบสวนทาง ความจริงแล้วปรากฏการณ์นี้มีที่มาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ปกครองยุคใหม่ที่แม้จะมีลูกน้อยลง แต่กลับทุ่มเทและลงทุนกับลูกมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดนี้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและน่าจับตามอง

ปรากฏการณ์ “เกิดน้อยแต่ใช้มาก” คืออะไร?

ข้อมูลทางสถิติเผยว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างน่าใจหาย โดยในปี 2565 มีเด็กเกิดใหม่เพียง 502,107 คน ในขณะที่มีคนเสียชีวิตถึง 595,965 คน ทำให้อัตราเพิ่มตามธรรมชาติของประชากรไทยติดลบเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน อัตราเจริญพันธุ์ของผู้หญิงไทยปัจจุบันอยู่ที่เฉลี่ยเพียง 1.1 คนตลอดช่วงชีวิต ซึ่งต่ำกว่าอัตราทดแทน (2.1) ถึงเกือบครึ่ง

แม้จำนวนเด็กเกิดใหม่จะลดลง แต่น่าสนใจว่าการใช้จ่ายสำหรับสินค้าและบริการแม่และเด็กกลับเพิ่มขึ้น เนื่องจาก:

  1. พ่อแม่ยุคใหม่มีจำนวนบุตรน้อยลง แต่พร้อมลงทุนกับลูกแต่ละคนมากขึ้น
  2. การให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและบริการมากกว่าราคา
  3. แนวคิดการเลี้ยงดูที่เน้นการส่งเสริมพัฒนาการและศักยภาพของเด็กในทุกด้าน
  4. ความกังวลเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพของเด็กที่มากขึ้น ทำให้เลือกสินค้าที่มีคุณภาพสูง

เมื่อมีลูกน้อยลง พ่อแม่จึงทุ่มเททั้งเวลาและทรัพยากรให้กับลูกมากขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อในตลาดแม่และเด็กเติบโตแบบสวนทางกับอัตราการเกิด

2

กลุ่มเป้าหมายในตลาดแม่และเด็กมีใครบ้าง?

การทำการตลาดแม่และเด็กจำเป็นต้องเข้าใจถึงความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละกลุ่ม ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น:

ผู้หญิงตั้งครรภ์

กลุ่มนี้ให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบำรุงสุขภาพทั้งแม่และลูกในครรภ์ โดยเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก สินค้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ อาหารเสริมสำหรับคนท้อง เสื้อผ้าคนท้อง ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ปลอดภัยสำหรับคนท้อง และบริการตรวจครรภ์พิเศษต่างๆ

พฤติกรรมการบริโภคของกลุ่มนี้มักจะหาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ และมักเปิดรับข้อมูลที่เป็นความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองและทารกในครรภ์

คุณแม่มือใหม่ (ลูก 0-1 ปี)

กลุ่มนี้ต้องการผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการดูแลทารก เนื่องจากเป็นช่วงที่คุณแม่ต้องปรับตัวมาก สินค้าที่เป็นที่ต้องการ ได้แก่ ผ้าอ้อม นมผง ขวดนม เครื่องปั๊มนม เครื่องนึ่งขวดนม และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ

คุณแม่กลุ่มนี้มักแสวงหาการช่วยเหลือและคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ รวมถึงสนใจเนื้อหาที่เกี่ยวกับพัฒนาการของทารกและวิธีการดูแลลูกอย่างถูกต้อง

คุณแม่ที่มีลูกวัยหัดเดิน (1-5 ปี)

กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับสินค้าที่ส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ทั้งด้านร่างกาย สมอง และสังคม สินค้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ของเล่นเสริมพัฒนาการ อาหารเสริมสำหรับเด็ก เสื้อผ้าเด็ก และบริการเสริมทักษะต่างๆ

พฤติกรรมการซื้อของคุณแม่กลุ่มนี้มักให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีการรับรองคุณภาพและความปลอดภัย รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกในแต่ละช่วงวัย

คุณแม่ที่มีลูกวัยเรียน (6-12 ปี)

กลุ่มนี้มุ่งเน้นไปที่การศึกษาและการพัฒนาทักษะเฉพาะทางของลูก สินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการ ได้แก่ คอร์สเรียนต่างๆ อุปกรณ์การเรียน หนังสือ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

คุณแม่กลุ่มนี้มักให้ความสำคัญกับข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ และต้องการสินค้าที่คุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว

3

เทคนิคการทำการตลาดแม่และเด็กยุคดิจิทัลต้องทำอย่างไร?

การตลาดแม่และเด็กในยุคดิจิทัลต้องปรับกลยุทธ์ให้ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะคุณแม่ยุคใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี ด้วยเทคนิคดังนี้:

สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าและตอบโจทย์

การสร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์ ให้ความรู้ และช่วยแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของคุณแม่ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจให้กับแบรนด์ คอนเทนต์ควรครอบคลุมทั้งความรู้ด้านพัฒนาการเด็ก เทคนิคการเลี้ยงดู และการดูแลสุขภาพของทั้งแม่และเด็ก

การแชร์ประสบการณ์จริงจากคุณแม่คนอื่นๆ หรือผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้คอนเทนต์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และสร้างความรู้สึกเป็นชุมชนสำหรับคุณแม่

ใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีประสิทธิภาพ

โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มคุณแม่ยุคดิจิทัล การสร้างเพจหรือกลุ่มที่เป็นชุมชนสำหรับแม่และเด็ก การใช้คลิปวิดีโอสั้นที่น่าสนใจ หรือการไลฟ์สดให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมและความผูกพันกับแบรนด์

แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคุณแม่ปัจจุบัน ได้แก่ Facebook, Instagram, TikTok และ YouTube โดยแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นต่างกัน และควรปรับรูปแบบเนื้อหาให้เหมาะกับแต่ละแพลตฟอร์ม

ใช้รีวิวและผู้มีอิทธิพลเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

คุณแม่ยุคใหม่มักให้ความสำคัญกับความคิดเห็นและประสบการณ์ของผู้ใช้จริง การมีรีวิวที่น่าเชื่อถือจากผู้ใช้งานจริงหรือการร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลในกลุ่มแม่และเด็ก (Mom Influencers) จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

ควรเลือกร่วมงานกับผู้มีอิทธิพลที่มีค่านิยมสอดคล้องกับแบรนด์ และมีกลุ่มผู้ติดตามที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้การสื่อสารมีความน่าเชื่อถือและได้ผลจริง

4

ช่องทางออนไลน์ไหนที่เข้าถึงกลุ่มแม่และเด็กได้ดีที่สุด?

การเลือกช่องทางออนไลน์ที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแต่ละช่องทางมีจุดเด่นและวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน:

Facebook

ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับคุณแม่ทุกช่วงวัย เหมาะสำหรับการสร้างชุมชน แบ่งปันเนื้อหา และจัดกิจกรรมต่างๆ คุณแม่มักใช้ Facebook เพื่อค้นหาข้อมูล เข้าร่วมกลุ่มที่มีความสนใจเดียวกัน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์

กลยุทธ์ที่ได้ผล: สร้างเพจหรือกลุ่มที่เป็นชุมชน นำเสนอเนื้อหาที่มีคุณค่า จัดกิจกรรมที่สร้างการมีส่วนร่วม และใช้ Facebook Ads ที่มีการตั้งเป้าหมายที่แม่นยำ

Instagram

เหมาะสำหรับการนำเสนอสินค้าในรูปแบบภาพที่สวยงาม และการสร้างแรงบันดาลใจ คุณแม่ยุคใหม่มักใช้ Instagram เพื่อหาไอเดียและแรงบันดาลใจในการเลี้ยงดูลูก รวมถึงติดตามเทรนด์ใหม่ๆ

กลยุทธ์ที่ได้ผล: สร้างคอนเทนต์ที่มีความสวยงาม ใช้ Stories และ Reels เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม และร่วมมือกับ Micro-influencers ในกลุ่มแม่และเด็ก

TikTok

กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคุณแม่รุ่นใหม่ เหมาะสำหรับการนำเสนอเนื้อหาสั้น กระชับ และมีความบันเทิง คุณแม่มักใช้ TikTok เพื่อหาเทคนิคและไอเดียการเลี้ยงลูกแบบสั้นๆ และสนุก

กลยุทธ์ที่ได้ผล: สร้างวิดีโอสั้นที่ให้เทคนิคหรือไอเดียที่นำไปใช้ได้จริง ใช้เพลงและเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยม และสร้างความบันเทิงควบคู่ไปกับการให้ข้อมูล

YouTube

เหมาะสำหรับเนื้อหาที่มีความลึกและต้องการอธิบายรายละเอียด คุณแม่มักใช้ YouTube เพื่อหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูก รีวิวสินค้า และวิดีโอสาธิตการใช้ผลิตภัณฑ์

กลยุทธ์ที่ได้ผล: สร้างวิดีโอที่ให้ความรู้อย่างละเอียด สาธิตการใช้ผลิตภัณฑ์ และรีวิวจากผู้เชี่ยวชาญหรือคุณแม่ที่มีประสบการณ์

5

ควรสร้างคอนเทนต์ในรูปแบบไหนให้โดนใจคุณแม่ยุคดิจิทัล?

การสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจคุณแม่ยุคดิจิทัลต้องเข้าใจทั้งความต้องการและพฤติกรรมการบริโภคสื่อของพวกเขา โดยรูปแบบคอนเทนต์ที่ได้ผลมีดังนี้:

คอนเทนต์ให้ความรู้แบบเข้าใจง่าย

คุณแม่มักแสวงหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการเลี้ยงดูลูก แต่ต้องการเนื้อหาที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และนำไปใช้ได้จริง เช่น บทความหรือวิดีโอเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กในแต่ละช่วงวัย เทคนิคการเลี้ยงดูลูก หรือวิธีรับมือกับปัญหาที่พบบ่อย

ควรนำเสนอข้อมูลทางวิชาการในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย ใช้ภาษาที่เป็นกันเอง และมีตัวอย่างประกอบเพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจน

คอนเทนต์แบ่งปันประสบการณ์จริง

เรื่องราวและประสบการณ์จริงจากคุณแม่คนอื่นๆ มักได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะช่วยให้คุณแม่รู้สึกว่าไม่ได้เผชิญปัญหาเพียงลำพัง และได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น

คอนเทนต์แนวนี้ควรนำเสนอทั้งความท้าทาย วิธีการแก้ปัญหา และบทเรียนที่ได้รับ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

คอนเทนต์ DIY และไอเดียกิจกรรม

คุณแม่ยุคใหม่มักมองหาไอเดียในการทำกิจกรรมร่วมกับลูกเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและสร้างความสัมพันธ์ คอนเทนต์ประเภทนี้ได้รับความนิยมเพราะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงและมักมีต้นทุนไม่สูง

ควรนำเสนอขั้นตอนที่ชัดเจน ระบุวัสดุที่ต้องใช้ และประโยชน์ที่เด็กจะได้รับจากกิจกรรมนั้นๆ

คอนเทนต์รีวิวสินค้าและบริการ

การรีวิวสินค้าและบริการสำหรับแม่และเด็กเป็นคอนเทนต์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อเป็นอย่างมาก คุณแม่มักต้องการรู้ว่าสินค้านั้นใช้งานได้จริงหรือไม่ คุ้มค่ากับราคาหรือไม่ และมีข้อดีข้อเสียอย่างไร

การรีวิวที่ดีควรมีความซื่อตรง ครอบคลุมทั้งข้อดีและข้อเสีย และมาจากประสบการณ์ใช้งานจริง

6

เคล็ดลับความสำเร็จของการสร้างแบรนด์ในตลาดแม่และเด็กคืออะไร?

การสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จในตลาดแม่และเด็กต้องอาศัยกลยุทธ์ที่เข้าถึงความต้องการและความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมาย ด้วยเคล็ดลับดังนี้:

สร้างความไว้วางใจด้วยความปลอดภัยและคุณภาพ

ความปลอดภัยและคุณภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการตัดสินใจซื้อสินค้าสำหรับแม่และเด็ก แบรนด์ควรแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานความปลอดภัย การรับรองคุณภาพ และความใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต

การมีใบรับรองมาตรฐานที่น่าเชื่อถือ การใช้วัตถุดิบที่ปลอดภัย และความโปร่งใสในกระบวนการผลิต จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

สื่อสารอย่างชัดเจนและจริงใจ

การสื่อสารที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา และไม่เกินจริง จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ คุณแม่ยุคใหม่มักมีการศึกษาและวิจารณญาณในการเลือกซื้อสินค้า การอ้างสรรพคุณเกินจริงหรือการปกปิดข้อมูลอาจทำให้เสียความไว้วางใจได้

แบรนด์ควรนำเสนอข้อมูลสินค้าอย่างครบถ้วน ระบุส่วนประกอบหรือวัสดุที่ใช้อย่างชัดเจน และพร้อมตอบคำถามหรือข้อสงสัยของลูกค้า

สร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับลูกค้า

การสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับลูกค้าจะช่วยให้แบรนด์ได้รับความภักดีในระยะยาว แบรนด์ควรใส่ใจในการสื่อสารกับลูกค้า รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ และพร้อมช่วยเหลือเมื่อลูกค้ามีปัญหา

การจัดกิจกรรมที่สร้างการมีส่วนร่วม การให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำ และการสร้างชุมชนสำหรับคุณแม่ เป็นวิธีที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี

ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

คุณแม่ยุคใหม่มักให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืน เพราะต้องการมอบโลกที่ดีให้กับลูกในอนาคต แบรนด์ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมจะได้รับความชื่นชมและการสนับสนุนจากกลุ่มคุณแม่ที่มีค่านิยมเดียวกัน

การใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การลดขยะจากบรรจุภัณฑ์ และการมีนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นวิธีที่แบรนด์สามารถแสดงจุดยืนด้านความยั่งยืนได้

7

อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าแม่และเด็ก?

การเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อจะช่วยให้แบรนด์สามารถพัฒนาสินค้าและกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปัจจัยหลักๆ มีดังนี้:

ความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจซื้อสินค้าสำหรับแม่และเด็กคือความปลอดภัยและคุณภาพ คุณแม่ยินดีจ่ายในราคาที่สูงขึ้นหากมั่นใจว่าสินค้านั้นมีความปลอดภัยและคุณภาพดี

สินค้าที่มีมาตรฐานรับรอง ผ่านการทดสอบความปลอดภัย และมีส่วนประกอบหรือวัสดุที่ไม่เป็นอันตรายต่อเด็ก จะได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากกว่า

ประโยชน์และความคุ้มค่า

คุณแม่มักพิจารณาประโยชน์ที่ลูกจะได้รับและความคุ้มค่าของสินค้าเมื่อเทียบกับราคา โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาสูง คุณแม่จะคำนึงถึงความคุ้มค่าในระยะยาว เช่น ความทนทาน ประโยชน์ในการใช้งาน และการส่งเสริมพัฒนาการของลูก

สินค้าที่มีการออกแบบให้ใช้งานได้หลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยนตามช่วงวัยของเด็ก หรือมีประโยชน์ในหลายด้าน มักได้รับความสนใจมากกว่า

ความเหมาะสมกับช่วงวัย

สินค้าสำหรับเด็กต้องเหมาะสมกับช่วงวัยและพัฒนาการของเด็ก คุณแม่มักศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของลูกและเลือกสินค้าที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการในช่วงนั้น

การระบุช่วงอายุที่เหมาะสม คำอธิบายว่าสินค้าช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านใด และคำแนะนำในการใช้งานที่ชัดเจน จะช่วยให้คุณแม่ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

ความน่าเชื่อถือของแบรนด์

แบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีประวัติที่ดี และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค มักได้รับความไว้วางใจจากคุณแม่มากกว่า โดยเฉพาะเมื่อต้องเลือกซื้อสินค้าสำคัญหรือสินค้าที่มีผลต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูก

การสร้างความน่าเชื่อถือผ่านการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง การมีผู้เชี่ยวชาญรับรอง และความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับแบรนด์ในตลาดแม่และเด็ก

8

กลยุทธ์การตลาดแม่และเด็กที่แตกต่างตามช่วงวัยควรทำอย่างไร?

การทำการตลาดแม่และเด็กให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยของเด็ก เนื่องจากความต้องการและพฤติกรรมของคุณแม่จะเปลี่ยนไปตามพัฒนาการของลูก ดังนี้:

กลยุทธ์สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

คุณแม่ตั้งครรภ์กำลังเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต และมักแสวงหาข้อมูลเพื่อเตรียมความพร้อม

กลยุทธ์ที่เหมาะสม:

  • สร้างคอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์
  • นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่และทารกในครรภ์
  • จัดกิจกรรมหรือเวิร์คช็อปเตรียมความพร้อมก่อนคลอด
  • สร้างชุมชนสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์

ช่องทางที่เหมาะสม: Facebook, YouTube และเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเชิงลึก

กลยุทธ์สำหรับคุณแม่ที่มีลูกวัยทารก (0-1 ปี)

คุณแม่ที่มีลูกวัยทารกมักเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวและมีเวลาส่วนตัวน้อย จึงต้องการข้อมูลและผลิตภัณฑ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวก

กลยุทธ์ที่เหมาะสม:

  • นำเสนอคอนเทนต์สั้น กระชับ และเข้าใจง่าย
  • เน้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยประหยัดเวลาและอำนวยความสะดวก
  • ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลทารกแรกเกิดและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น
  • เสนอบริการหรือผลิตภัณฑ์แบบสมาชิกหรือส่งเป็นประจำ เพื่อลดความกังวลเรื่องของหมด

ช่องทางที่เหมาะสม: TikTok, Instagram Stories และแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย

กลยุทธ์สำหรับคุณแม่ที่มีลูกวัยหัดเดิน (1-5 ปี)

ในช่วงนี้ คุณแม่มักให้ความสำคัญกับการส่งเสริมพัฒนาการของลูกในทุกด้าน และมองหากิจกรรมที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก

กลยุทธ์ที่เหมาะสม:

  • นำเสนอของเล่นหรือกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการตามช่วงวัย
  • สร้างคอนเทนต์ DIY และไอเดียกิจกรรมที่แม่ลูกสามารถทำร่วมกัน
  • จัดกิจกรรมหรือเวิร์คช็อปที่ส่งเสริมการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์
  • เน้นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย มีความทนทาน และส่งเสริมการเรียนรู้

ช่องทางที่เหมาะสม: Facebook, Instagram, YouTube และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีการจัดหมวดหมู่ตามช่วงวัย

กลยุทธ์สำหรับคุณแม่ที่มีลูกวัยเรียน (6-12 ปี)

คุณแม่ที่มีลูกวัยเรียนมักให้ความสำคัญกับการศึกษาและการพัฒนาทักษะเฉพาะทางของลูก รวมถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต

กลยุทธ์ที่เหมาะสม:

  • นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะเฉพาะทาง
  • สร้างคอนเทนต์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับระบบการศึกษาและแนวทางการเรียนรู้สมัยใหม่
  • จัดกิจกรรมหรือเวิร์คช็อปที่ช่วยเพิ่มทักษะและความสามารถของเด็ก
  • เน้นความคุ้มค่าและประโยชน์ในระยะยาวของผลิตภัณฑ์หรือบริการ

ช่องทางที่เหมาะสม: Google Search, YouTube และแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์

สรุป

แม้อัตราการเกิดของประเทศไทยและทั่วโลกจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ตลาดสินค้าและบริการสำหรับแม่และเด็กกลับเติบโตสวนทางด้วยปัจจัยสำคัญคือ พ่อแม่ยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของลูกมากขึ้น พร้อมลงทุนในผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพสูง แม้จะมีจำนวนบุตรน้อยลง

การทำการตลาดแม่และเด็กในยุคดิจิทัลให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความเข้าใจในพฤติกรรมและความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่มือใหม่ หรือคุณแม่ที่มีลูกในช่วงวัยต่างๆ การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า การใช้ช่องทางออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับลูกค้า ล้วนเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

ที่สำคัญที่สุด ความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้าเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อของคุณแม่ แบรนด์ที่สามารถสร้างความไว้วางใจผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ การสื่อสารที่จริงใจ และการใส่ใจในความต้องการของลูกค้า จะเป็นแบรนด์ที่ยืนหยัดได้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงนี้

#การตลาดแม่และเด็ก #กลยุทธ์การตลาดดิจิทัล #แม่มือใหม่ #พัฒนาการเด็ก #สินค้าและบริการสำหรับเด็ก #คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง #โซเชียลมีเดียมาร์เก็ตติ้ง #อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง #ความปลอดภัยสำหรับเด็ก #การสร้างแบรนด์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • ประวัติการเข้าชมเว็บไซต์และโฆษณา

    ยินยอนให้มีการเก็บประวัติการเข้าชมเว็บไซต์

บันทึกการตั้งค่า