
GDPR กับ PDPA ต่างกันอย่างไร? ธุรกิจออนไลน์ควรเลือกใช้กฎหมายไหน?
GDPR และ PDPA คืออะไร? ใครต้องปฏิบัติตาม?
GDPR (General Data Protection Regulation) คือ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (EU) ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนใน EU มีสิทธิ์ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง และบังคับใช้กับองค์กรทั่วโลกที่เก็บหรือประมวลผลข้อมูลของพลเมือง EU ไม่ว่าองค์กรนั้นจะตั้งอยู่ที่ใดก็ตาม[11].
PDPA (Personal Data Protection Act) คือ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย ที่บังคับใช้กับทุกองค์กรที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยหรือดำเนินธุรกิจในไทย โดยไม่คำนึงถึงสัญชาติหรือถิ่นที่อยู่ของเจ้าของข้อมูล[11][6].

สิทธิของเจ้าของข้อมูล: ใครได้สิทธิมากกว่ากัน?
GDPR ให้สิทธิ์เจ้าของข้อมูลอย่างครบถ้วน ทั้งการเข้าถึง แก้ไข ลบข้อมูล ขอคัดค้าน หรือขอให้ลบข้อมูล (Right to be Forgotten) รวมถึงสิทธิ์ในการขอข้อมูลไปใช้กับผู้ให้บริการรายอื่น (Data Portability) และสิทธิ์ปฏิเสธการตัดสินใจโดยระบบอัตโนมัติ[11][2][6].
PDPA ให้สิทธิ์เข้าถึงและลบข้อมูลเป็นหลัก ส่วนสิทธิ์อื่นๆ เช่น การแก้ไขหรือปฏิเสธการประมวลผล ยังไม่ระบุชัดเจนเท่า GDPR[11][6].
การขอความยินยอมและการจัดการข้อมูล
- GDPR เน้น “ความยินยอมอย่างชัดเจน” (Explicit Consent) ต้องแจ้งวัตถุประสงค์และให้เจ้าของข้อมูลตัดสินใจอย่างอิสระ
- PDPA อนุญาตให้ใช้ “ความยินยอมโดยปริยาย” (Implied Consent) ในบางกรณี แต่ต้องแจ้งวัตถุประสงค์และให้ถอนความยินยอมได้ง่าย[2][15].

การแจ้งเหตุข้อมูลรั่วไหลและมาตรฐานความปลอดภัย
ทั้งสองกฎหมายกำหนดให้ธุรกิจต้องแจ้งเหตุข้อมูลรั่วไหลแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเจ้าของข้อมูลโดยเร็วที่สุด แต่ GDPR จะมีรายละเอียดและมาตรฐานการป้องกันข้อมูลที่เข้มงวดกว่า เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การประเมินความเสี่ยง และการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล (DPO) ในบางกรณี[2][4][6].
บทลงโทษ: ใครเข้มงวดกว่ากัน?
- GDPR มีโทษปรับสูงสุดถึง 20 ล้านยูโร หรือ 4% ของรายได้ทั่วโลกขององค์กร (แล้วแต่จำนวนใดสูงกว่า)
- PDPA มีโทษทั้งทางแพ่ง อาญา และปกครอง โดยโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท หรือชดใช้ไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหาย และจำคุกไม่เกิน 1 ปี[11][2].

ธุรกิจออนไลน์ควรเลือกใช้กฎหมายไหน?
หากธุรกิจของคุณมีลูกค้าหรือผู้ใช้บริการที่เป็นพลเมือง EU หรือมีการเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานจาก EU ต้องปฏิบัติตาม GDPR ด้วย นอกเหนือจาก PDPA ที่บังคับใช้ในประเทศไทย เพราะการดำเนินธุรกิจออนไลน์ข้ามประเทศเป็นเรื่องปกติในยุคนี้ และการปฏิบัติตามกฎหมายทั้งสองจะช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า[11][6].
สรุป
- GDPR และ PDPA มีเป้าหมายหลักเหมือนกัน คือ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่รายละเอียดและความเข้มงวดแตกต่างกัน
- GDPR มีมาตรฐานสูงกว่าในหลายด้าน และบังคับใช้อย่างครอบคลุมทั่วโลก
- PDPA เน้นการคุ้มครองข้อมูลในประเทศไทย และอาจยืดหยุ่นมากกว่าในบางประเด็น
- ธุรกิจออนไลน์ควรเตรียมพร้อมและปฏิบัติตามทั้งสองกฎหมาย หากมีลูกค้าต่างประเทศหรือมีการเก็บข้อมูลข้ามประเทศ
สรุปท้ายบท
GDPR และ PDPA ต่างเป็นกฎหมายสำคัญสำหรับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในยุคดิจิทัล แม้จะมีจุดร่วมในหลักการ แต่รายละเอียดและความเข้มงวดแตกต่างกัน ธุรกิจออนไลน์ควรศึกษาและปฏิบัติตามให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและขอบเขตการดำเนินงาน เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ
#GDPR #PDPA #ข้อมูลส่วนบุคคล #กฎหมายคุ้มครองข้อมูล #ธุรกิจออนไลน์ #ความปลอดภัยข้อมูล #DataProtection #PrivacyLaw